วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

Nakhon Nayok, little town of Na Pitt.


Happy New Year 2012, woo hoo!

Can't believe it's been exactly a year that I haven't updated my blog.
It's the second day of 2012 and this year is a little special coz it's 2555 in buddhist era. 555 can be pronounced as hahaha in thai, I think it's a giggly sign ;D

Yesterday I went to Nakhon Nayok, 2 hrs. from BKK by driving. My family went there to visit my Uncle Pitt. He's my mom's lil bro, moving from Trung (his hometown in the south of Thailand) to do an aluminium shop here. He's funny as always even he's drunk, kept repeating the same dialouge for about 3-4 times in a day. But the thing he said is positively true about how he idolizes my parents, how he fed me when I was little and how much he miss us.

I love Him and I will go visiting him as much as I could like he's willing me to.

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

I was blessed by Norwegian Wood

1-1-11 วันดีๆ วันแรกของปี เราเปิดอ่านหนังสือเล่มนี้โดยที่ไม่รู้จักมันมาก่อน สิ่งที่รู้...รู้ว่ามูราคามิเป็นนักเขียนที่มีสไตล์แปลกดี ชวนหดหู่แต่อารมณ์ขันพิลึก...รู้ว่าหนึ่งในงานเขียนคือ A Wild Sheep Chase เกี่ยวกับการตามหาแกะที่หลังมีรูปดาวตามภาพถ่าย...รู้ว่าหนึ่งในงานเขียนคือ Pinball 1973 เกี่ยวกับการตามหาเครื่องเล่นพินบอลเครื่องแรก...รู้ว่า Norwegian Wood คือชื่อเพลงเพลงหนึ่งของ The Beatles แต่ก็ไม่เคยฟัง...รู้ว่า Norwegian Wood กำลังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โดย Keniji Mutsuyama หนึ่งในนักแสดงญี่ปุ่นที่เราชอบ นำแสดง
ถึงแม้ว่าความรู้รอบตัว(ที่ไม่มีประโยชน์นัก)ในข้อสุดท้ายพาเราให้มาเปิดหนังสือเล่มนี้ แต่ก็ถือเป็นการเปลี่ยนประสบการณ์ไปเลยทีเดียว Norwegian Wood เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ความตาย และเซ็กซ์...
ถึงแม้เนื้อหาจะแรง แต่เราชอบเรื่องนี้มาก เพราะมันทำให้รู้สึกว่ามันไม่มีความสัมพันธ์ที่ตายตัว และตัวละครมีอิสระที่จะทำสิ่งใดก็ตาม แต่สิ่งที่นำมาซึ่งความเศร้าก็คือความตายของคนใกล้ตัว ตัวละครหลักๆทุกตัวจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับคนตาย น่าเศร้ามากขึ้นเมื่อเป็นการฆ่าตัวตาย คนตายจะทิ้งบางสิ่งบางอย่างหลงเหลือไว้กับผู้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกผิด ภาระรับผิดชอบ หรือความโหยหาคิดถึง อ่านบทวิเคราะห์ของคุณอนุสรณ์ ติปยานนท์เกี่ยวกับหนังสือเรื่องนี้ เขาบอกว่า ตัวละครในเรื่องจะถูกผูกมัดด้วยความตายและเซ็กซ์ คือบำบัดความรู้สึกหลังการตายของคนสนิทด้วยเซ็กซ์ ทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่เดียวดาย ในขณะที่เซ็กซ์ก็นำมาซึ่งความรู้สึกเสียใจและอาจนำไปสู่ความตายเมื่อไม่สมหวัง
เราอ่านหนังสือเรื่องนี้จบภายใน 2 วัน (นับว่าหาได้ยากมาก) ขอบคุณอัมพวาที่มาเป็นแขกรับเชิญ กลายเป็นบริบทที่เหมาะแก่การอยู่อย่างสงบและอ่านหนังสือเรื่องนี้ได้ลึกซึ้ง ต่อเนื่อง
มีคนบอกว่าอ่าน Norwegian Wood เป็นเรื่องแรกในบรรดาหนังสือของมูราคามิ จะดีที่สุด เพราะอ่านง่าย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เรื่องแรกหรือสุดท้าย ยังไงชีวิตนี้ก็ขอให้ลองอ่านดู...
This new year, I was blessed by Norwegian Wood :D

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The Way of Cyber Boycott.

In one music video of one Biggest Rock Band from you tube, the highest rated comment said
"1st of March is Justin Bieber's birthday. This little roach has been infecting the whole world. Because of him, the world of rock is becoming extinct.

So on his birthday, we all will go to his "Baby" official video and push the 'DISLIKE' button so that the 'dislike' bar becomes 10 times bigger than the 'like' bar.

If you are a rock fan, join with me, copy-paste this message to all rock/metal videos. We have six months to unite and fight against this little shit. ;P"

LoL Love It

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Your mind is the scene of the crime!



ด้วยคำโปรยที่ชวนไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้มาก ประกอบกับชื่อของ Christopher Nolan (the Dark Knight) ผู้กำกับที่เราปลื้มมาก ทำให้ Inception ถูกลิสต์ไว้ในโปรแกรมที่เราจะต้องไปดูแน่นอน
อยากดูมากๆๆๆๆ :D

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Children of Heaven



วันก่อนเรามีโอกาสได้ดูหนังอิหร่านเรื่องหนึ่งคือ Children Of Heaven
ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังจากประเทศนี้ หลายๆคนรวมถึงตัวเราเองก็อาจจะคิดว่าเนื้อหาจะเป็นเรื่องเครียดเช่น การเมือง ศาสนา กับเรื่องนี้ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน เห็นปกหน้าและหลังแบบผ่านๆ ก็คาดเดาเอาว่าผู้กำกับจะตีแผ่เรื่องความยากจนและความลำบากของเด็กๆส่วนหนึ่งในประเทศ แต่เมื่อได้ดูแล้วกลับเป็นเรื่องราวของเด็กตัวเล็กๆที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวของเขา
เนื้อเรื่องของ Children Of Heaven เกี่ยวกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ อาลี วันหนึ่งในระหว่างทางกลับบ้านจากไปซื้อของให้แม่ เขาทำรองเท้าของน้องสาวชื่อ ซาร่า ที่เพิ่งเอาไปซ่อมหายไป เขาไม่ยอมบอกพ่อกับแม่ และบอกให้น้องสาวทำเช่นเดียวกัน เพราะเขาตระหนักดีว่าฐานะทางการเงินของครอบครัวยากลำบาก พ่อทำงานคนเดียว แม่ป่วย และยังมีน้องสาวคนเล็กที่ยังเป็นทารก อาลีสัญญาว่าจะหารองเท้ามาให้ซาร่าให้ได้
เมื่อไม่มีรองเท้า อาลีและซาร่าจำเป็นต้องแบ่งรองเท้ากันใช้ โดยอาลีให้รองเท้าซาร่ายืมไปเรียนตอนเช้า พอเรียนเสร็จก็ต้องวิ่งเอามาให้อาลีเปลี่ยนเพื่อใส่ไปเรียนต่อ พวกเขาทำแบบนี้ทุกวัน รองเท้าผ้าใบที่แบ่งกันใช้เริ่มเก่าและขาด จนกระทั่งวันหนึ่งที่โรงเรียนของอาลีมีการประกวดวิ่งมาราธอน เขาจึงเข้าร่วมแข่ง เพราะรางวัลที่สามของการแข่งคือการได้ไปเข้าค่ายหนึ่งอาทิตย์พร้อมรองเท้าหนึ่งคู่! เป้าหมายของอาลีคือรางวัลที่สามเท่านั้น แต่ตอนจบคงต้องไปลุ้นกันเองว่าจะจบอย่างไร
สิ่งที่เรารู้สึกประทับใจมากกับเรื่องนี้ คือความไร้เดียงสาของเด็กที่พยายามปกปิดความลับเพราะเข้าใจดีถึงฐานะทางการเงินของครอบครัว รองเท้าเก่าๆที่ใช้แล้วใช้อีกจนขาดยุ่ย แต่ตัวอาลีเองกลับไม่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เขาขาด ทุกสิ่งถูกใช้อย่างคุ้มค่าจนถึงเวลาสุดท้ายของมัน สิ่งที่เขาต้องการเป็นแค่รองเท้าคู่ใหม่ให้น้อง จนทำให้เราต้องมาย้อนดูตัวเองว่า แล้วเราใช้ของๆเราคุ้มค่าหรือยัง เราไม่ได้ขาดอะไรมากมาย แต่ความอยากได้ไม่รู้จบ เสื้อผ้าใหม่ รองเท้าใหม่ กระเป๋าใหม่ กลายเป็นความหลงมัวเมาในวัตถุนิยม การให้ความสำคัญกับคุณค่าทางจิตใจลดน้อยลง ความช่วยเหลือเกื้อกูลลดน้อยลง
สถาบันครอบครัวเป็นประเด็นหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ตีแผ่ออกมาอย่างเด่นชัดผ่านความรักและห่วงใยของพี่ชายน้องสาวคู่นี้ ความปราถนาของอาลีที่ต้องการจะแข่งขันเพื่อชิงรางวัลที่สามมาให้น้องเป็นความคิดซื่อๆที่น่ายกย่องและน่าเอ็นดู
Children Of Heaven เป็นหนังที่ดูไม่ยากแต่อาจหาดูยากท่ามกลางหนังในสังคมปัจจุบันที่เน้นเนื้อหาความรุนแรงหรือความยิ่งใหญ่ของสเปเชี่ยล เอฟเฟค ไม่ต้องตีความอะไรซับซ้อน เพราะมันล้วนเป็นเรื่องของจิตใจที่เป็นใครก็ต้องเข้าใจดี
เพียงแต่อาจจะมองข้ามไปเท่านั้น...

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

One piece of paper can cheer me up!

สิ่งที่ดีที่สุดที่ได้รับจากโปสการ์ดคือความคิดถึงของคนส่ง เมื่อไหร่ที่เห็นมันนอนอยู่ในตู้จดหมายหรือมีคนในบ้านหยิบยื่นกระดาษที่จ่าหน้าซองถึงเรามาให้ สีสันไม่ว่าจะเป็นภาพของธรรมชาติหรือภาพถ่ายฝีมือคนส่งที่แฝงมาด้วยความภูมิใจในตัวเองเล็กๆ ก็ทำให้เรายิ้มได้เสมอ เหมือนกับมีใครมากระซิบบอกว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ยังมีคนที่นึกถึงเราอยู่
การส่งโปสการ์ดเองก็เช่นกัน ความสุขที่เราได้ทำอะไรเล็กๆน้อยๆให้คนๆหนึ่งที่มีความสำคัญกับเรา มันทำให้เรารูสึกเต็มอิ่มในหัวใจ กว่าจะเขียนตัวอักษรออกมาแต่ละตัว เราตั้งใช้เวลานั่งกลั่นกรองคำพูดนั้น แสดงความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกัน บังคับจิตใจเราให้คิดก่อนที่จะทำหรือพูดออกไป ทำให้เรามีความประนีประนอม และเข้าใจคนๆนั้นมากขึ้น
ทำให้เรารอบคอบขึ้น เดินช้าลง มีเวลาให้กับสมองของเราเอง
เพราะกว่าเราจะได้รับกระดาษแต่ละใบทางไปรษณีย์ ก็ต้องใช้เวลาเป็นวันๆ
ไม่ใช่โทรศัพท์แบล็คเบอร์รี่ที่เราจะสามารถโต้ตอบกันได้ทันที และทำให้มนุษย์ต้องเช็คโทรศัพท์โดยอัตโนมัติทุกครั้งที่มีเสียงเตือนเกิดขึ้นราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรม
!

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

Laos, I'm back but not packer

15 April 10

1-

15 เมษา วันมหาสงกรานต์ มีเรื่องที่น่าจดจำคือ เราได้กลับมาลาวอีกครั้ง ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นสาวสก๊อยกลับใจหรืออะไรนะ แต่หมายถึงการเดินทางกลับมาเที่ยวที่ลาวอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเมืองที่ยังไม่เคยมา นามว่า "สะหวันนะเขต"
เดิมทีตอนแรกจี้อ้นและพี่ป็อป(จี้อ้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของเรา จี้เป็นสรรพนามจีนแคะใช้เรียกพี่สาว ส่วนพี่ป็อปเป็นแฟนจี้อ้น)บอกว่าวันนี้อาจไม่ได้ข้ามไปฝั่งลาว เพราะอากูรุ้ง(อากูคือสรรพนามแทนอา อาจนึกว่าหยาบคาย แต่จริงๆไม่นะจ๊ะ)ตั้งใจจะออกรถจากมุกดาหารตอน 13.00 เพื่อถึงกรุงเทพฯตอนประมาณ 22.00 ในวันนี้จึงเหลือเพียงช่วงเวลาเช้าที่จะเที่ยวได้ จี้อ้นบอกว่างไปลาวอาจจะเที่ยวไม่ทัน อาจไปแค่ตลาดอินโดจีนและต่อด้วยไปภูผาเทิบ ซึ่งเป็นเนินที่ราบสูง ซึ่งคนแบบที่ราบลุ่มอย่างเราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าเป็นไง
จัดไป...สำหรับเรา ทริปนี้ไม่มีการวางแผนมาตั้งแต่ต้น ไม่มีการเปิดอินเตอร์เนทเช็คสถานที่ที่อยากไปหรืออยากเที่ยวแต่อย่างใด แทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับภูมิภาคนี้ แค่นั่งรถไฟจากสุรินทร์มาลงศรีสะเกษถูกก็นับว่าดีมากแล้ว ต่อจากนี้เป็นหน้าที่ให้ผู้เชี่ยวชาญวางแผนตามใจชอบดีกว่า
แต่ไปๆมาๆ เช้านี้เรากลับเปลี่ยนโปรแกรมว่าเราจะไปลาวกัน!

2-

ตอนนี้เราก็มายืนหน้าด่านพรมแดนมุกดาหาร และอีกฝั่งแม่น้ำโขงก็คือสะหวันนะเขต เมืองหนึ่งในเขตลาวใต้ เคยได้ยินชื่อมาบ้าง แต่เช่นเคย ไม่มีข้อมูลอะไรมากกว่าชื่อของมัน
ก่อนอื่นเราก็ต้องทำเรื่องข้ามแดน ไม่ใช่ให้แก้ผ้าทำอนาจารให้เกิดเรื่องขึ้นนะ แต่หมายถึงการทำเอกสารข้ามแดนต่างหาก
ขั้นตอนข้ามแดนไม่ยาก แค่มีบัตรประชาชนใบเดียว ไปต่อแถวที่ทำการไม่เกินห้านาทีรับรองเสร็จ ต้องซีร็อกซ์เอกสารนิดหน่อย เครื่องซีร็อกซ์ก็อยู่แถวๆนั้น บริการตัวเองได้เลย แต่ถ้าทำไม่เป็นก็จะมีอาเฮีย(ตอนแรกนึกว่าเฮียที่ไหนไม่รู้ เห็นไม่มีชุดยูนิฟอร์ม แต่ก็คงจะเป็นพนักงานของที่ทำการ)มาช่วยซีร็อกซ์ ด้วยความเป็นกันเองแบบนี้นี่แหละ สมเป็นบ้านพี่เมืองน้อง
ยังแอบได้ยินเสียงพนักงานที่เคาน์เตอร์ประกาศ
"อย่าเซ็นแทนกันเด้อ"....น่ารักมั้ยล่ะ


3-


ยืนรอซักพัก รถโดยสารระหว่างประเทศของเราก็มาถึง จากตารางรถจะออกทุก 45 นาที เริ่มออกตั้งแต่ 8.00 น. แต่เอาจริงๆ รถก็มาไม่ตามเวลาหรอก คนไทยแบบเราก็รู้สึกคุ้นชินเพราะธรรมเนียมการใช้ชีวิตคล้ายกัน
รถจอดรอซักพักจนคนเต็มรถพอประมาณ จึงค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากด่าน ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว2 มุ่งหน้าสู่สะหวันนะเขต
มาแล้วๆ ความทรงจำเริ่มกลับมาแล้ว การสะกดคำแบบใช้สระเปลืองและการออกเสียงซ.โซ่อย่างเมามันเริ่มมาแล้ว ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ทริปเวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบางถูกสมองปัดฝุ่นส่งตรงสู่ม่านตาอีกครั้ง
พอมาถึงด่านฝั่งลาว สายตาก็ไปกระทบกับรถตู้และรถสามล้อ(หรือที่เรียกว่ารถสกายแลป)จอดเรียงรายรอรับผู้โดยสารเพื่อพาไปเที่ยวต่อ นี่เป็นอีกภาพนึงที่รู้สึกคุ้นตาเช่นกัน
คนที่เคยไปเที่ยวลาวคงรู้ว่าอะไรจะเกิดต่อจากนี้ เหยียบแผ่นดินเดินออกมาปุ๊ป ฝูงไกด์ทัวร์และโชเฟอร์ทั้งหลายเข้ามารุมล้อมผู้โดยสารที่เพิ่งลงจากรถปั๊ป พร้อมปล่อยคำถามต่างๆนานา ไปไหน ยังไง ไปมั้ย นานเท่าไหร่ ฯลฯ
พี่ป็อปตัดสินใจเลือกคุณน้าชาวลาวหน้าตาซื่อคนหนึ่ง(หรือไม่รู้ว่าเขาเดินมาเลือกพี่ป็อปเอง) น้าแกบอกราคาทัวร์หนึ่งวันมา "1200 บาท"
ถ้า 1200 กีบเราก็คงจะตกลงใจไปทันที แต่เมื่อเป็นบาทเราจึงต้องยึกยักบ้างตามประสา หลังจากถามไถ่รายละเอียด พี่ป็อปก็เอ่ยออกมาว่า "1,000 บาทละกัน"
เหตุการณ์นี้ทำเอานึกถึงไอ้กิ่ง--เพื่อนซี้ขี้ต่อของเรา
ตามประเพณี ต่อครั้งเดียวใครจะให้ จึงช่วยกันจัดการออดอ้อน อ้างนู่นอ้างนี่จนคุณน้าโชเฟอร์ยอมตกลง
พี่ป็อปตบไหล่กอดคอน้าโชเฟอร์เดินไปที่รถทันที
อย่างที่บอก...บ้านพี่เมืองน้อง

4-


ไม่รู้ว่าน้าโชเฟอร์บอกกำหนดการรึยัง แต่ถึงบอกก็ดูไม่มีใครสนใจ พาไปไหนก็ไปเหอะ เดิมทีก็เที่ยวกันแบบไม่มีแผนการทั้งสิ้น อ๋อ มีที่หนึ่งที่พี่ป็อปเขาตั้งใจมาเลยคือสะหวันเวกัส คาสิโนเปิดใหม่ของที่นี่
หลังจากออกรถ นั่งนึกๆถึงค่าเงินลาว เกิดจำไม่ได้ว่า 1 บาทเท่ากับกี่กีบ พยายามนึกตั้งนาน ทั้งที่เพิ่งมาเมื่อ 5-6 เดือนที่แล้วเองนะ ก็เลยยื่นหน้าไปถามน้าโชเฟอร์ "250 กีบครับ"
ป๊าถาม "แล้ว 250 กีบซื้อรัยได้บ้าง"
"อูยย ไม่ได้หรอกครับ"
พอถึงตอนนี้ก็เริ่มจำได้ละ ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50-60 บาทหรือประมาณ 15,000 กีบ น้ำ 5,000 กีบ ค่ารถสกายแลปเที่ยวหนึ่งก็ประมาณ 20,000 กีบ
คนลาวใช้เงินกันเป็นหลักพันหลักหมื่นนะจ๊ะ...ฮ่าๆๆ

5-


สะบายดี...สะหวันนะเขต
จุดหมายแรกของพวกเราคือพระธาตุอิงฮัง
พระธาตุอิงฮังเป็นพระธาตุรูปทรงเดียวกับพระธาตุพนม แต่พระธาตุพนมเพิ่งบูรณะใหม่จึงไฉไลกว่า ส่วนพระธาตุอิงฮังจะยังเป็นหินแบบเปลือยๆ ไม่มีการทาสีทับ รอยคราบแห่งกาลเวลาดำๆจึงปรากฏให้เห็นชัดเจน ซึ่งถ้าถามเรา เราก็คงชอบเสน่ห์ของอย่างหลังมากกว่า
นอกจากความแตกต่างเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก บรรยากาศโดยรอบพระธาตุก็ต่างกัน พระธาตุพนมของฝั่งไทยดูคึกคักกว่า ผู้คนแต่งตัวทันสมัยกว่า แต่ที่พระธาตุอิงฮังจะดูพื้นบ้านมากๆ ผู้หญิงท้องถิ่นนุ่งผ้าซิ่นหอบหิ้วตะกร้ามาทำบุญกัน ผู้คนเดินสรงน้ำพระพุทธรูปที่วางเรียงรายอยู่ในระเบียงรอบๆพระธาตุ ในมือแต่ละคนมีใบไม้คนละช่อเพื่อใช้จุ่มน้ำจากขันและประพรมลงบนพระพุทธรูป มีเด็กๆมาเดินขายน้ำสรงพระที่บรรจุขวดพลาสติกรีไซเคิล บรรยากาศเป็นไปอย่างง่ายๆสบายๆ
ถึงแม้พวกเขาจะขาดสิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยี ความก้าวหน้า หรือพัฒนาการ แล้วแต่ใครจะเรียก
แต่สิ่งหนึ่งที่คนลาวมีอย่างเหนียวแน่นก็คือความเชื่อในพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ประเพณีที่น่าหวงแหน และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ประเทศลาวยังมีอาชญากรรมน้อยมาก
ได้อย่างก็เสียอย่าง...

6-

"ถ่ายรูปมั้ยจ๊ะ" เอ...ประโยคแบบนี้คุ้นๆนะ พอหันไปดูตามเสียงนั้น เฮ้ย! ถ่ายรูปด่วน 1 นาทีได้!
แต่คราวนี้ช่างภาพพกแค่กล้องมา ไม่ได้มีเครื่องปริ้นท์ห้อยไว้ที่เอวยืนยันความด่วนได้เหมือนที่เจอตอนไปเวียงจันทน์
ส่ายหน้าปฏิเสธให้ช่างภาพไปหลายคนแล้ว เพราะโดยส่วนตัวไม่ชอบการถ่ายรูปแบบที่ช่างภาพบริการถ่ายรูปให้ เพราะรู้สึกว่ามันดูพยายามจัดฉากมากเกินไป มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เราประทับใจจริงๆจากเหตุการณ์นั้น จึงเลือกที่จะบันทึกความทรงจำด้วยตัวเองดีกว่า
เนื่องจากทริปนี้ไม่มีใครเอากล้องมาเลย(ด้วยความปุบปับ) นอกจากไอโฟนของอาโก(พี่ชาย)ที่ช่วยชีวิตไว้ได้บ้าง เก็บภาพมาเชยชมพอหอมปากหอมคอ แต่อาร์ตไดเรกเตอร์ประจำทริปของเราอย่างอากูรุ้งต้องการความสมบูรณ์แบบ มีหรือจะไม่ขอเก็บภาพสวยๆมาเป็นที่ระลึก
ว่าแล้วก็รวมตัวทุกคนมายืนยิ้มหน้าหยีให้กล้องเพราะแดดอันร้อนแรง ตอนนั้นรู้สึกว่าขี้เกียจถ่ายมากจริงๆ ไม่ต้องก็ได้มั้ง แต่ไม่อยากขัดให้ต่อความยาวสาวความยืด ก็เลย"เลยตามเลย"
หลังจากที่ถ่ายไปเพียงรูปเดียวจาก 4 รูปในราคา 100 บาท ช่างภาพหญิงก็โบ้ยหน้าที่ต่อให้ช่างภาพหนุ่ม ไม่รู้ว่าพี่ช่างภาพหญิงทนการกำกับภาพของอาร์ตไดไม่ได้หรืออย่างไร จึงขอถอนตัวไปก่อน
อาร์ตไดยังคงจัดการจิ้มภาพตัวอย่างที่ถูกอัดใส่แผนพลาสติกใสว่าจะเอาแบบนี้ๆ ถ้าช่างถ่ายไม่พอใจ ก็...เอาใหม่
สงสารพี่ช่างภาพและสงสารตัวเองมาก นี่ถ้าถ่ายที่ประเทศแถบสแกนดิเนเวียนก็จะไม่บ่นในใจซักคำเลย
ถ่ายเสร็จ เลือกรูปอีกร่วมครึ่งชั่วโมงจนครบ 4 รูป
พอรูปออกมาเสร็จสมบูรณ์ ก็รูสึกว่าดีเหมือนกันนะที่มีคนบังคับให้ถ่าย ไม่ใช่ว่าสวยสมบูรณ์ตามเทรนด์ชาวบ้านที่มาสถานที่สำคัญเป็นไม่ได้ ต้องยืนเรียงเป็นนักฟุตบอลถ่ายรูปสองแถวหน้ากระดาน แต่เป็นเพราะเราไม่มีรูปครอบครัวแบบนี้บ่อยๆ ถึงแม้จะไม่มีพี่สาวจอมแจ๊ดมาด้วยก็เถอะ
บางทีเรามองข้ามอะไรเล็กๆน้อยๆไป จะด้วยความขี้เกียจหรืออะไรก็แล้วแต่
ต้องขอบคุณอาร์ตไดเรคเตอร์ประจำครอบครัวอย่างอากูรุ้ง...สุดยอดดดด

7-
พอพ้นทางธรรม พวกเราก็กลับสู่ทางโลกอีกครั้ง
จุดหมายที่จะไปต่อคือตลาดโอด็อป(ODOP พิมไม่ผิดนะ ตลาดโอด็อปจริงๆ) ตลาดสิงคโปร์และปิดท้ายด้วยสะหวันเวกัส
ตลาดโอด็อปไม่ค่อยมีอะไรแปลกพิสดาร ส่วนใหญ่ของที่ขายก็เป็นสินค้าพื้นบ้าน พวกไม้แกะสลัก เหล้า เบียร์ ที่ขาดไม่ได้เลยคือเบียร์ลาว แต่พี่ป็อปบอกว่าไว้ไปซื้อที่ร้านดาวเรือง(เป็นร้านขายของหนีภาษีโดยเฉพาะพวกเหล้า ไวน์ที่ช่องเม็ก จ.อุบลฯ)ที่เพิ่งมาเปิดสาขาที่นี่ด้วย
ใครอยากได้โทรศัพท์ไอโฟน บีบี ที่นี่ก็มีขายแต่เมดอินอะไรไม่รู้ ถูกมาก ราคาประมาณ 3,000 บาทเอง นึกสงสัยว่าใช้แล้วจะระเบิดใส่หน้ามั้ย แต่จี้อ้นบอกว่าใช้ได้เหมือนกัน ส่วนใหญ่เขาจะเอาไปเปลี่ยนเป็นแบตเตอรี่ของแท้ ก็จะใช้ได้ดีกว่า
เดินๆซักพัก ก็ได้ของติดไม้ติดมือมาเป็นโปสการ์ดลาว 2 ใบ เป็นที่ระลึกถึงสะหวันนะเขต
ออกจากตลาดโอด็อป ก็แวะไปดูที่ร้านดาวเรือง ปรากฎว่าหยุดสงกรานต์วันที่ 15 วันเดียวพอดี ปะป๊าอดซื้อเหล้าเลย
ลืมเล่าว่าคนลาวก็เล่นสงกรานต์เหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ว่าเล่นกี่วัน และบริเวณที่เราไปเที่ยวก็ไม่ใช่ตัวเมืองของสะหวันนะเขต จึงไม่รู้ว่าบรรยากาศจริงๆจะคึกคักแค่ไหน เห็นเด็กๆเล่นสาดน้ำกันแบบหรอมแหรม
ที่ต่อไปที่เราจะไปกัน คือตลาดสิงคโปร์ เป็นตลาดที่สิงคโปร์เช่าที่ลาวไว้ถึง 50 ปี ซึ่งตอนนี้เพิ่งจะผ่านไป 10 ปีเท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมชาวสิงคโปร์ถูกอกถูกใจสะหวันนะเขตตรงไหน ถึงกับยอมผูกขาดขนาดนี้
ตลาดสิงคโปร์เหมือนสะพานเหล็กในกรุงเทพฯนั่นแหละ ของที่ขายก็มีพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ของก็อปแบรนด์เนมที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าก็อปแน่นอนจำพวกกระเป๋า รองเท้า แว่นกันแดด
มีร้านทองด้วย ไม่รู้ว่าเก๊เหมือนกันรึเปล่า!
สำหรับคนที่นึกภาพไม่ออก ตลาดสิงคโปร์ก็เป็นตลาดที่อยู่ในตึกแห่งหนึ่ง เหมือนห้างเก่าๆ ภายในมีร้านรวงที่ขายของเหมือนๆกันเรียงรายอยู่บนชั้น 1 ชั้นอื่นๆของตึกถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างรกร้างว่างเปล่าราวกับยังสร้างไม่เสร็จ สงสัยชาวสิงคโปร์เป็นคนใจเย็นเห็นว่าเหลืออีกตั้ง 40 ปี!
เดินสำรวจอย่างรวดเร็วพบว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ นอกจากจิ้งจก 9 หางและนารีผลที่หน้าตึกซึ่งไม่คิดจะซื้อแน่นอนแล้ว เราจึงเดินออกมาข้างนอก ซักพักมีพี่สาวคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถามว่า"ทำเล็บมั้ย"
งงสิคะ อารมณ์ไหนกัน อยู่ๆมาชวนทำเล็บทั้งๆที่แถวนี้ก็ไม่เห็นมีซาลอนบริการเลย จึงตอบปฏิเสธไป
พอหายมึนก็จึงเข้าใจในภาพที่เห็น มันคือซาลอนเคลื่อนที่!
หน้าทางเข้าตลาดนัดสิงคโปร์ จะมีบริการทำเล็บแบบพกพา ช่างทำเล็บแต่ละคนจะมีตะกร้าคนละอันบรรจุยาทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บ สำลี ที่ตัดเล็บและเก้าอี้เตี้ยแบบเก้าอี้ซักผ้าบริการสาวๆที่ผ่านไปผ่านมาและอยากนั่งพักผ่อนหย่อนใจพร้อมรับบริการความงามให้แก่อวัยวะทั้งสิบที่อยู่ล่างสุด เท่านั้นยังไม่พอ ใครเมื่อยๆก็มีบริการนวดแขนนวดขานวดไหล่กันตรงไหนเลย จะทำพร้อมกับทำเล็บก็คงจะเพลินดีแท้
ขณะนั้นลูกค้าหนาแน่นพอสมควร ถ้าเราเป็นคนแอพพรีชิเอตการทำเล็บก็อาจจะลองดูกับเขาบ้าง
สภาพอากาศที่ร้อนเปรี้ยงปร้าง จนแม้แต่จะย่างเท้าไปขึ้นรถตู้ปรับอากาศก็ยังไม่อยากทำ อากูรุ้งจึงอาสาเดินดุ่มไปเรียกรถตู้เพื่อมารับทุกคนที่ปากทางเข้าตลาด ขณะที่ยืนรอกันอยู่ พี่สาวช่างเล็บคนเมื่อกี้ก็สะกิดปะป๊าพลางชี้มาที่เก้าอี้ซักผ้า ป๊ารีบปฏิเสธ
"ไม่ได้จะทำครับ" ซึ่งถ้าดูจากรูปพรรณสัณฐานของปะป๊าแล้ว ก็ไม่น่าจะชวนทำเล็บนะ
"ไม่เป็นไร นั่งพักได้ค่ะ"
คนลาวใจดีจัง...

8-

และแล้วพวกเราก็มาถึงที่สุดท้ายในการเที่ยวลาว
"สะหวันเวกัส" คาสิโนใหม่เอี่ยมในสะหวันนะเขต พี่ป็อปบอกว่ามีคนไทยข้ามมาเล่นเยอะ โดยจะมีรถรับส่งจากด่านไปที่บ่อนโดยเฉพาะด้วย
หลังจากน้าโชเฟอร์มาส่งเราที่ปากทางเข้าและนัดหมายว่าจะมารับในอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะพวกเราไม่ได้ตั้งใจจะเล่นจริงใจ แค่อยากเข้าไปซึมซับบรรยากาศเฉยๆ
เบื้องหน้าของเราเป็นอาคารที่ดูทึบตันและไม่ทราบสไตล์เกิดจากการมิกซ์แอนด์แมทช์ของอาคารแบบโมรอคคันผสมช้างไทยตัวเขื่องเรียงรายอยู่รอบนอก ไม่รู้ถือเอาฤกษ์เอาชัยให้นักพนันมาลอดท้องช้างสร้างสิริมงคลก่อนเดินเข้าไปสู่คาสิโนรึเปล่า นอกจากนี้ยังมีรถกระบะคันโตที่คาดว่าจะเป็นรางวัลของผู้โชคดีวางตระหง่านในแกนที่ไม่ธรรมดาเสริมสร้างความยั่วยวนต่อสายตานักพนัน
มึนงงกับสถาปัตยกรรมเบื้องหน้าซักพัก เราก็เดินเข้าสู่โลกแห่งการพนัน
ต่างกันราวกับกลางวันและกลางคืน จากแดดแรงๆด้านนอกสะหวันเวกัส เมื่อก้าวเท้าเข้าไปก็มีลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศมาช่วยทุเลาความทรมาน ภายในมีอาคารมีการตกแต่งป้ายไฟคึกคักผสมกับไฟเสริมสลัวๆ แทบไม่มีช่องเปิด กะให้นักพนันแทงกันลืมวันลืมคืนเลยทีเดียว
เดินดูรอบๆก็จะเห็นโต๊ะพนันหลากประเภททั้งรูเล็ต แบล็คแจ็ค สล็อท รวมถึงรับพนันกีฬาด้วย มีทีวีจอใหญ่ฉายการถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกนัดหนึ่ง เนื่องจากเล่นอะไรไม่เป็นซักอย่าง ก็เลยได้แต่เดินดูรอบๆ
เดินๆหลายรอบ มองไปก็เห็นหน้าคุ้นๆ อ้าว! พี่ป็อปประจำที่ ณ โต๊ะรูเล็ตโต๊ะหนึ่งแล้ว มีป้าๆนั่งร่วมโต๊ะอยู่อีก 2 คนและเจ้ามืออีก 1 คน
หลังจากที่เดินเบื่อนานแล้วและถึงเวลาที่รถใกล้จะมารับ หม่าม้า อาโกและเราก็เดินออกมารอที่หน้าคาสิโน ถ่ายรูปเล่นกะคุณช้างใหญ่ยักษ์ หม่าม้าก็เริ่มเป็นห่วงว่าจะพวกที่เหลือข้างในจะเล่นเพลินเลยบอกให้เข้าไปตามออกมา
ตรงตามที่พี่ป็อปลั่นวาจาเอาไว้ ได้เงินมาจ่ายค่าห้องพอดี


9-
ร้อนจนจะละลายแล้ว
หลังข้ามกลับมาไทยและพ้นจากร่มเงาของอาคารด่านพรหมแดน ก็ต้องฝ่ารังสีของแดดบริเวณที่จอดรถกลางแจ้ง รังสียูวีที่สะท้อนพื้นคอนกรีตและตัวรถยนต์กระแทกเข้าสู่ร่างกายทุกทิศทุกทาง ต้นไม้ก็มีน้อยเหลือเกินจนไม่สามารถพึ่งพาร่มเงาได้ ร้อนถึงขั้นม้ามจะแตก!
ระหว่างที่พวกเรารอรถโดยสารเพื่อกลับมาฝั่งไทย นั่งซดโออิชิหนึ่งขวดเต็มๆก็ไม่ช่วยดับความกระหายได้ เลยต้องเบี่ยงเบนความสนใจ(เรื่องความร้อน)โดยการนั่งดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ด่าน ระบบการทำงานของที่นี่เป็นไปอย่างไม่เป็นระบบนัก อยากเดินเข้าไปซื้อน้ำทั้งที่พ้นรั้วมาแล้วก็สามารถทำได้ โต๊ะขายตั๋วรถข้ามแดนก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ เอ๊ะ! เราจะกลับยังไงเนี่ย
ป้ายบอกก็ไม่มี รอซักพักจึงจะเห็นพนักงานขายตั๋วกลับมานั่งที่โต๊ะ
ถึงจะไม่มีมาตรฐานและความฉับไว แต่ก็มีเสน่ห์ที่ความไม่รีบร้อน ไม่ทำให้บรรยากาศมันร้อนมากกว่าที่เป็นอยู่
หลังจากสำรวจการทำงานของด่านพรหมแดนฝั่งลาวเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มหาอย่างอื่นทำต่อ หนีไม่พ้นต้องคุยกันเองแล้วล่ะ หันไปทางขวาเห็นหม่าม้าคุยกับจี้อ้นอยู่ ฟังเพลินๆจนมาสะดุดที่บทสนทนาหนึ่ง
"อ้นเป็นอาโผ่แล้วนะ" จี้อ้นพูดขึ้นมา
คนที่ไม่ได้มีสัญชาติจีนแคะอาจจะไม่เข้าใจ อาโผ่ก็หมายถึงคุณย่านั่นเอง
ถึงจะมีอายุต่างกันเกือบยี่สิบปี แต่ถ้านับลำดับญาติ จี้อ้นก็คือลูกพี่ลูกน้องของเรา ถึงแม้อายุจะสามารถเป็นแม่เราได้แล้ว แต่จี้อ้นยังดูเด็กและสวยหมวยอยู่เสมอ จี้อ้นมีลูกชายคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเรา 1 ปีชื่อ นิว เคยมาอาศัยอยู่ที่บ้านเพราะเรียนโรงเรียนเดียวกันตอนป.5-6 จบประถมก็แยกย้ายกันไป นิวย้ายไปอยู่กับพ่อที่เลิกทางกับจี้อ้น หลังจากนั้นก็แทบไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย นิวมาเยี่ยมที่บ้านประมาณปีละครั้ง แต่หลังๆมานี้ก็ไม่ได้เจอเลย กลายเป็นว่าข่าวล่าสุดที่เราได้รับคือ นิวมีลูกชายอายุ 4 เดือนแล้ว
กรี๊ดดดด....ฉันเป็นอากูแล้ว...อากูบู
เนื่องจากครอบครัวทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่มีพี่น้องเยอะทำให้ความเหลื่อมล้ำของอายุมีมาก นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เรามีหลานในตระกูลทั้งสองฝ่ายนับสิบเกือบยี่สิบคนได้ นิวก็ถือเป็นหลานของเรา นั่นหมายความว่าทารกอายุ 4 เดือนผู้นั้นคือ"เหลน"คนแรกในชีวิต!
จี้อ้นบอกเราว่า เป็นธรรมดาเมื่อวัยรุ่นไม่มีคนคอยชี้แนะหรือคอยสอน ทำให้เลือกทางเดินในชีวิตแบบนั้น เห็นท่าทางจี้อ้นดูกลุ้มใจนิดหน่อยแต่ก็ปลงในขณะเดียวกัน หม่าม้าถามจี้อ้นว่านิวทำงานอะไร อยู่ยังไง
"ก็มีร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ อ้นเลยบอกให้ไปเรียนให้จบ เอาปริญญาตรีให้ได้ ไม่งั้นชีวิตจะลำบาก จบปวส.ก็ได้แค่ส่งประแจให้ช่างเขาเท่านั้น แต่ถ้าได้ปริญญาตรีก็เข้าทำงาน หรืออาจถูกส่งไปเรียนเมืองนอก โอกาสมีมากกว่ากันเยอะ"
จี้อ้นเป็นสาวเก่ง ทั้งที่เสียพ่อไปตั้งแต่อายุยังน้อย มีปะป๊าและอาๆช่วยกันเลี้ยงมา ด้วยความทะเยอทะยานจึงตั้งตัวมีชีวิตที่ดีแบบทุกวันนี้ด้วยลำแข้งของตัวเองได้ เป็นตัวอย่างที่เราก็ชื่นชม
พอได้ฟังชีวิตของหลานชายคนนี้ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าชีวิตคนเรามันต่างกันแค่การที่เราเลือกทางเดินเท่านั้น ครอบครัวมีส่วนสำคัญมากที่จะช่วยดูแลให้เด็กเดินไปในเส้นทางที่ถูกที่ควร
แต่หากเลือกพลาดบ้าง ก็นับเป็นประสบการณ์ของชีวิต เพียงแค่เรารู้ตัวและพยายามเดินกลับเข้าสู่ทหนทางที่ถูกต้อง พยายามทำชีวิตให้ดีขึ้นมา เท่านั้นมันก็เกิดคุณค่ากับตัวเองแล้ว

10-
กลับมาพบการจราจรที่แน่นเอี้ยดในตัวเมืองจังหวัดมุกดาหาร
เนื่องจากเป็นเทศกาลปีใหม่ไทย สิ่งที่เห็นรอบข้างกระจกรถก็คงหนีไม่พ้นบรรยากาศการสาดน้ำอย่างสนุกสนาน รถกระบะขนคนแต่ละคันแน่นเอี้ยดเพื่อมาเล่นสงกรานต์กัน ส่วนเราก็สนุกสนานเหมือนกันกับการดูคนเล่นสาดน้ำ เพราะถึงจะนั่งในรถเก๋ง แต่กลุ่มคนเสื้อลายดอกที่เล่นอยู่บนฟุตบาทก็ใจดีโดยสาดน้ำมาที่รถทำให้พวกเรารู้สึกมีส่วนร่วมและแอบกระพริบตาหยีเมื่อน้ำมากระ แทกกระจกฝั่งที่เรากำลังจ้องอยู่ เคยคิดเหมือนกันว่าจะสาดทำไมเมื่อรู้ว่าก็ไม่โดนตัวคนในรถอยู่ดี แต่ในวันนี้เรากลับคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะแบ่งปันความสนุกสนานทางใจให้กับคนทุกๆคน

หิวแล้ว...แวะทานอาหารที่ร้านคู่แฝด2ซึ่งเป็นอาหารเวียดนามกันก่อน
เนื่องจากร้านคู่แฝด1 ไม่มีแอร์ พี่ป็อปจึงพาไปร้านคู่แฝด2 ที่คิดว่าน่าจะมีแอร์ แต่พอไปถึงกลับเป็นลมร้อนๆจากพัดลมแขวนบนเพดานเท่านั้น
โอเค...เอาเถอะ หิวกันมากแล้ว บรรยากาศร้านก็ดูน่านั่งทีเดียวถึงแม้จะดูไม่มีพนักงานมาเก็บจานชามที่วางเกลื่อนบนโต๊ะราวกับว่าเพิ่งจัดโต๊ะเวียดนาม(โต๊ะจีน)มาหมาดๆ แต่เพราะเราไม่อยากจะฝ่าสมรภูมิการเล่นสงกรานต์อันดุเดือดหน้าร้านออกไปอีกครั้ง จึงนั่งลงสั่งอาหารทันที
และไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะอาหารอร่อยมากกกกกก...
อาจเป็นเพราะเราเป็นคนที่กินได้แทบทุกอย่างและรู้สึกเอร็ดอร่อยกับอะไรง่ายๆ จึงรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้มันช่างถูกปากจริงๆ ทั้งแหนมเนือง ปอเปี๊ยะทอด ปอเปี๊ยะสด ปากหม้อญวณ ฯลฯ กินเยอะมากจนแทบจะพูดภาษาเวียดนามได้แล้ว
มื้อเช้าเราก็ทานอาหารเวียดนามที่มีแม่ครัวและพนักงานเป็นครอบครัวชาวเวียดนามแท้ๆเลยด้วย ไม่รู้ว่าย่านนี้เป็นชุมชนคนเวียดนามหรืออย่างไร สังเกตจากร้านอาหารเวียดนามที่อยู่ในละแวกเดียวกันซึ่งมีอยู่หลายร้าน และขอบอกว่าจากที่กินมาทั้งมื้อเช้าและมื้อบ่ายนี้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย
กินเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินพุงกางฝ่าสมรภูมิน้ำไปที่รถอีกรอบ คราวนี้เปียกน้ำนิดหน่อย
บรรยากาศสงกรานต์ที่อ.เมือง จ.มุกดาหารดูสนุกสนานมาก แม้จะมีเหล้าเบียร์วางตั้งเต็มโต๊ะในตอนกลางวันแสกๆผนวกกับเสียงเพลงจากลำโพงตัวเบ้อเริ่มซึ่งพ่นเพลงที่ดังเกินพอดีในจังหวะเกย์แดนซ์สลับกับเพลงปลุกใจของคาราบาวและเพลงเกาหลีบ้างเป็นบางขณะ เราก็รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับความสนุกสนานเหล่านั้นได้
คนที่นี่เล่นน้ำกันตลอด 3 วัน ต่างจากที่เราเคยไปเล่นที่ตรัง(ไม่รู้ว่ารวมจังหวัดอื่นๆในภาคใต้ด้วยรึเปล่า)ซึ่่งเล่นน้ำในวันที่ 13 วันเดียวเท่านั้น วันที่เหลือเป็นวันเที่ยว ถ้าสาดน้ำกันอาจจะโดนตบกลับมาได้


11-

ถึงที่หมายสุดท้ายแล้ว...ตลาดอินโดจีน
ตลาดอินโดจีนเป็นร้านค้าที่วางเรียงรายอยู่ริมถนน อารมณ์ร้านค้าย่านสำเพ็ง ขายของจิปาถะ เครื่องใช้ไฟฟ้า ขนม ไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก น่าจะเหมาะกับคนที่ตั้งใจมาซื้อรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมหรือภาพปักไหมถูกๆมากกว่า หลังจากเดินดูของไม่นาน พวกเราจึงคิดว่ากลับดีกว่า
ตลอดการเดินทาง เราใช้รถ 2 คันสำหรับคน 7 คน ก่อนแยกย้ายกลับเราจึงขับไปเจอกันที่ปั๊มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมันและร่ำลากัน
พี่ป็อปกับจี้อ้นกลับศรีสะเกษโดยใช้เส้นทางเดิมคือผ่านจ.อำนาจเจริญ ส่วนพวกเราที่เหลือมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯโดยใช้คนละเส้นทางกันคือต้องผ่านจ.กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น โคราช สระบุรีและเข้าสู่กรุงเทพฯ
หลังจากหอมและกอดกันเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาโบกมือบ๊ายบายกัน ไว้กลับไปเจอกันใหม่ที่กรุงเทพฯ
ทริปทัวร์อีสานครั้งแรกครั้งนี้ ทำให้เราได้สัมผัสกับภูมิภาคนี้มากขึ้น จากเดิมที่แทบไม่รู้อะไรเลยนอกจากการเป็นที่ราบสูงทางตะวันออกเฉียงเหนือ ส้มตำและแหล่งคนเสื้อแดง
วันนี้ได้มาลองสัมผัส ก็พบว่ามันมีเสน่ห์ของมันอยู่ไม่น้อย
ทุกสถานที่มีเอกลักษณ์และความน่าสนใจทั้งนั้น

12-
การมาเที่ยวกับครอบครัวและญาติๆนานๆครั้งก็เป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดี ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกๆของชีวิตคนหนึ่งคน ถึงจะมีนอยด์กันบ้าง ผิดใจกันบ้าง แต่ที่พึ่งสุดท้ายของเราก็คือครอบครัว
ขณะขึ้นรถมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ เราก็ได้นึกย้อนเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดทริป นึกไปก็ยิ้มไป โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้าคือการจราจรติดขัดมหาศาล และการใช้ชีวิตบนรถที่นานที่สุดตั้งแต่เกิดมา
กับการเดินทางกลับ 13 ชั่วโมง!!!!

16 April 10

03.00 อ๊ากก ยังไม่ถึงบ้านเล้ยยยย