วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

One piece of paper can cheer me up!

สิ่งที่ดีที่สุดที่ได้รับจากโปสการ์ดคือความคิดถึงของคนส่ง เมื่อไหร่ที่เห็นมันนอนอยู่ในตู้จดหมายหรือมีคนในบ้านหยิบยื่นกระดาษที่จ่าหน้าซองถึงเรามาให้ สีสันไม่ว่าจะเป็นภาพของธรรมชาติหรือภาพถ่ายฝีมือคนส่งที่แฝงมาด้วยความภูมิใจในตัวเองเล็กๆ ก็ทำให้เรายิ้มได้เสมอ เหมือนกับมีใครมากระซิบบอกว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ยังมีคนที่นึกถึงเราอยู่
การส่งโปสการ์ดเองก็เช่นกัน ความสุขที่เราได้ทำอะไรเล็กๆน้อยๆให้คนๆหนึ่งที่มีความสำคัญกับเรา มันทำให้เรารูสึกเต็มอิ่มในหัวใจ กว่าจะเขียนตัวอักษรออกมาแต่ละตัว เราตั้งใช้เวลานั่งกลั่นกรองคำพูดนั้น แสดงความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกัน บังคับจิตใจเราให้คิดก่อนที่จะทำหรือพูดออกไป ทำให้เรามีความประนีประนอม และเข้าใจคนๆนั้นมากขึ้น
ทำให้เรารอบคอบขึ้น เดินช้าลง มีเวลาให้กับสมองของเราเอง
เพราะกว่าเราจะได้รับกระดาษแต่ละใบทางไปรษณีย์ ก็ต้องใช้เวลาเป็นวันๆ
ไม่ใช่โทรศัพท์แบล็คเบอร์รี่ที่เราจะสามารถโต้ตอบกันได้ทันที และทำให้มนุษย์ต้องเช็คโทรศัพท์โดยอัตโนมัติทุกครั้งที่มีเสียงเตือนเกิดขึ้นราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรม
!

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

Laos, I'm back but not packer

15 April 10

1-

15 เมษา วันมหาสงกรานต์ มีเรื่องที่น่าจดจำคือ เราได้กลับมาลาวอีกครั้ง ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นสาวสก๊อยกลับใจหรืออะไรนะ แต่หมายถึงการเดินทางกลับมาเที่ยวที่ลาวอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเมืองที่ยังไม่เคยมา นามว่า "สะหวันนะเขต"
เดิมทีตอนแรกจี้อ้นและพี่ป็อป(จี้อ้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของเรา จี้เป็นสรรพนามจีนแคะใช้เรียกพี่สาว ส่วนพี่ป็อปเป็นแฟนจี้อ้น)บอกว่าวันนี้อาจไม่ได้ข้ามไปฝั่งลาว เพราะอากูรุ้ง(อากูคือสรรพนามแทนอา อาจนึกว่าหยาบคาย แต่จริงๆไม่นะจ๊ะ)ตั้งใจจะออกรถจากมุกดาหารตอน 13.00 เพื่อถึงกรุงเทพฯตอนประมาณ 22.00 ในวันนี้จึงเหลือเพียงช่วงเวลาเช้าที่จะเที่ยวได้ จี้อ้นบอกว่างไปลาวอาจจะเที่ยวไม่ทัน อาจไปแค่ตลาดอินโดจีนและต่อด้วยไปภูผาเทิบ ซึ่งเป็นเนินที่ราบสูง ซึ่งคนแบบที่ราบลุ่มอย่างเราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าเป็นไง
จัดไป...สำหรับเรา ทริปนี้ไม่มีการวางแผนมาตั้งแต่ต้น ไม่มีการเปิดอินเตอร์เนทเช็คสถานที่ที่อยากไปหรืออยากเที่ยวแต่อย่างใด แทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับภูมิภาคนี้ แค่นั่งรถไฟจากสุรินทร์มาลงศรีสะเกษถูกก็นับว่าดีมากแล้ว ต่อจากนี้เป็นหน้าที่ให้ผู้เชี่ยวชาญวางแผนตามใจชอบดีกว่า
แต่ไปๆมาๆ เช้านี้เรากลับเปลี่ยนโปรแกรมว่าเราจะไปลาวกัน!

2-

ตอนนี้เราก็มายืนหน้าด่านพรมแดนมุกดาหาร และอีกฝั่งแม่น้ำโขงก็คือสะหวันนะเขต เมืองหนึ่งในเขตลาวใต้ เคยได้ยินชื่อมาบ้าง แต่เช่นเคย ไม่มีข้อมูลอะไรมากกว่าชื่อของมัน
ก่อนอื่นเราก็ต้องทำเรื่องข้ามแดน ไม่ใช่ให้แก้ผ้าทำอนาจารให้เกิดเรื่องขึ้นนะ แต่หมายถึงการทำเอกสารข้ามแดนต่างหาก
ขั้นตอนข้ามแดนไม่ยาก แค่มีบัตรประชาชนใบเดียว ไปต่อแถวที่ทำการไม่เกินห้านาทีรับรองเสร็จ ต้องซีร็อกซ์เอกสารนิดหน่อย เครื่องซีร็อกซ์ก็อยู่แถวๆนั้น บริการตัวเองได้เลย แต่ถ้าทำไม่เป็นก็จะมีอาเฮีย(ตอนแรกนึกว่าเฮียที่ไหนไม่รู้ เห็นไม่มีชุดยูนิฟอร์ม แต่ก็คงจะเป็นพนักงานของที่ทำการ)มาช่วยซีร็อกซ์ ด้วยความเป็นกันเองแบบนี้นี่แหละ สมเป็นบ้านพี่เมืองน้อง
ยังแอบได้ยินเสียงพนักงานที่เคาน์เตอร์ประกาศ
"อย่าเซ็นแทนกันเด้อ"....น่ารักมั้ยล่ะ


3-


ยืนรอซักพัก รถโดยสารระหว่างประเทศของเราก็มาถึง จากตารางรถจะออกทุก 45 นาที เริ่มออกตั้งแต่ 8.00 น. แต่เอาจริงๆ รถก็มาไม่ตามเวลาหรอก คนไทยแบบเราก็รู้สึกคุ้นชินเพราะธรรมเนียมการใช้ชีวิตคล้ายกัน
รถจอดรอซักพักจนคนเต็มรถพอประมาณ จึงค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากด่าน ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว2 มุ่งหน้าสู่สะหวันนะเขต
มาแล้วๆ ความทรงจำเริ่มกลับมาแล้ว การสะกดคำแบบใช้สระเปลืองและการออกเสียงซ.โซ่อย่างเมามันเริ่มมาแล้ว ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ทริปเวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบางถูกสมองปัดฝุ่นส่งตรงสู่ม่านตาอีกครั้ง
พอมาถึงด่านฝั่งลาว สายตาก็ไปกระทบกับรถตู้และรถสามล้อ(หรือที่เรียกว่ารถสกายแลป)จอดเรียงรายรอรับผู้โดยสารเพื่อพาไปเที่ยวต่อ นี่เป็นอีกภาพนึงที่รู้สึกคุ้นตาเช่นกัน
คนที่เคยไปเที่ยวลาวคงรู้ว่าอะไรจะเกิดต่อจากนี้ เหยียบแผ่นดินเดินออกมาปุ๊ป ฝูงไกด์ทัวร์และโชเฟอร์ทั้งหลายเข้ามารุมล้อมผู้โดยสารที่เพิ่งลงจากรถปั๊ป พร้อมปล่อยคำถามต่างๆนานา ไปไหน ยังไง ไปมั้ย นานเท่าไหร่ ฯลฯ
พี่ป็อปตัดสินใจเลือกคุณน้าชาวลาวหน้าตาซื่อคนหนึ่ง(หรือไม่รู้ว่าเขาเดินมาเลือกพี่ป็อปเอง) น้าแกบอกราคาทัวร์หนึ่งวันมา "1200 บาท"
ถ้า 1200 กีบเราก็คงจะตกลงใจไปทันที แต่เมื่อเป็นบาทเราจึงต้องยึกยักบ้างตามประสา หลังจากถามไถ่รายละเอียด พี่ป็อปก็เอ่ยออกมาว่า "1,000 บาทละกัน"
เหตุการณ์นี้ทำเอานึกถึงไอ้กิ่ง--เพื่อนซี้ขี้ต่อของเรา
ตามประเพณี ต่อครั้งเดียวใครจะให้ จึงช่วยกันจัดการออดอ้อน อ้างนู่นอ้างนี่จนคุณน้าโชเฟอร์ยอมตกลง
พี่ป็อปตบไหล่กอดคอน้าโชเฟอร์เดินไปที่รถทันที
อย่างที่บอก...บ้านพี่เมืองน้อง

4-


ไม่รู้ว่าน้าโชเฟอร์บอกกำหนดการรึยัง แต่ถึงบอกก็ดูไม่มีใครสนใจ พาไปไหนก็ไปเหอะ เดิมทีก็เที่ยวกันแบบไม่มีแผนการทั้งสิ้น อ๋อ มีที่หนึ่งที่พี่ป็อปเขาตั้งใจมาเลยคือสะหวันเวกัส คาสิโนเปิดใหม่ของที่นี่
หลังจากออกรถ นั่งนึกๆถึงค่าเงินลาว เกิดจำไม่ได้ว่า 1 บาทเท่ากับกี่กีบ พยายามนึกตั้งนาน ทั้งที่เพิ่งมาเมื่อ 5-6 เดือนที่แล้วเองนะ ก็เลยยื่นหน้าไปถามน้าโชเฟอร์ "250 กีบครับ"
ป๊าถาม "แล้ว 250 กีบซื้อรัยได้บ้าง"
"อูยย ไม่ได้หรอกครับ"
พอถึงตอนนี้ก็เริ่มจำได้ละ ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50-60 บาทหรือประมาณ 15,000 กีบ น้ำ 5,000 กีบ ค่ารถสกายแลปเที่ยวหนึ่งก็ประมาณ 20,000 กีบ
คนลาวใช้เงินกันเป็นหลักพันหลักหมื่นนะจ๊ะ...ฮ่าๆๆ

5-


สะบายดี...สะหวันนะเขต
จุดหมายแรกของพวกเราคือพระธาตุอิงฮัง
พระธาตุอิงฮังเป็นพระธาตุรูปทรงเดียวกับพระธาตุพนม แต่พระธาตุพนมเพิ่งบูรณะใหม่จึงไฉไลกว่า ส่วนพระธาตุอิงฮังจะยังเป็นหินแบบเปลือยๆ ไม่มีการทาสีทับ รอยคราบแห่งกาลเวลาดำๆจึงปรากฏให้เห็นชัดเจน ซึ่งถ้าถามเรา เราก็คงชอบเสน่ห์ของอย่างหลังมากกว่า
นอกจากความแตกต่างเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก บรรยากาศโดยรอบพระธาตุก็ต่างกัน พระธาตุพนมของฝั่งไทยดูคึกคักกว่า ผู้คนแต่งตัวทันสมัยกว่า แต่ที่พระธาตุอิงฮังจะดูพื้นบ้านมากๆ ผู้หญิงท้องถิ่นนุ่งผ้าซิ่นหอบหิ้วตะกร้ามาทำบุญกัน ผู้คนเดินสรงน้ำพระพุทธรูปที่วางเรียงรายอยู่ในระเบียงรอบๆพระธาตุ ในมือแต่ละคนมีใบไม้คนละช่อเพื่อใช้จุ่มน้ำจากขันและประพรมลงบนพระพุทธรูป มีเด็กๆมาเดินขายน้ำสรงพระที่บรรจุขวดพลาสติกรีไซเคิล บรรยากาศเป็นไปอย่างง่ายๆสบายๆ
ถึงแม้พวกเขาจะขาดสิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยี ความก้าวหน้า หรือพัฒนาการ แล้วแต่ใครจะเรียก
แต่สิ่งหนึ่งที่คนลาวมีอย่างเหนียวแน่นก็คือความเชื่อในพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ประเพณีที่น่าหวงแหน และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ประเทศลาวยังมีอาชญากรรมน้อยมาก
ได้อย่างก็เสียอย่าง...

6-

"ถ่ายรูปมั้ยจ๊ะ" เอ...ประโยคแบบนี้คุ้นๆนะ พอหันไปดูตามเสียงนั้น เฮ้ย! ถ่ายรูปด่วน 1 นาทีได้!
แต่คราวนี้ช่างภาพพกแค่กล้องมา ไม่ได้มีเครื่องปริ้นท์ห้อยไว้ที่เอวยืนยันความด่วนได้เหมือนที่เจอตอนไปเวียงจันทน์
ส่ายหน้าปฏิเสธให้ช่างภาพไปหลายคนแล้ว เพราะโดยส่วนตัวไม่ชอบการถ่ายรูปแบบที่ช่างภาพบริการถ่ายรูปให้ เพราะรู้สึกว่ามันดูพยายามจัดฉากมากเกินไป มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เราประทับใจจริงๆจากเหตุการณ์นั้น จึงเลือกที่จะบันทึกความทรงจำด้วยตัวเองดีกว่า
เนื่องจากทริปนี้ไม่มีใครเอากล้องมาเลย(ด้วยความปุบปับ) นอกจากไอโฟนของอาโก(พี่ชาย)ที่ช่วยชีวิตไว้ได้บ้าง เก็บภาพมาเชยชมพอหอมปากหอมคอ แต่อาร์ตไดเรกเตอร์ประจำทริปของเราอย่างอากูรุ้งต้องการความสมบูรณ์แบบ มีหรือจะไม่ขอเก็บภาพสวยๆมาเป็นที่ระลึก
ว่าแล้วก็รวมตัวทุกคนมายืนยิ้มหน้าหยีให้กล้องเพราะแดดอันร้อนแรง ตอนนั้นรู้สึกว่าขี้เกียจถ่ายมากจริงๆ ไม่ต้องก็ได้มั้ง แต่ไม่อยากขัดให้ต่อความยาวสาวความยืด ก็เลย"เลยตามเลย"
หลังจากที่ถ่ายไปเพียงรูปเดียวจาก 4 รูปในราคา 100 บาท ช่างภาพหญิงก็โบ้ยหน้าที่ต่อให้ช่างภาพหนุ่ม ไม่รู้ว่าพี่ช่างภาพหญิงทนการกำกับภาพของอาร์ตไดไม่ได้หรืออย่างไร จึงขอถอนตัวไปก่อน
อาร์ตไดยังคงจัดการจิ้มภาพตัวอย่างที่ถูกอัดใส่แผนพลาสติกใสว่าจะเอาแบบนี้ๆ ถ้าช่างถ่ายไม่พอใจ ก็...เอาใหม่
สงสารพี่ช่างภาพและสงสารตัวเองมาก นี่ถ้าถ่ายที่ประเทศแถบสแกนดิเนเวียนก็จะไม่บ่นในใจซักคำเลย
ถ่ายเสร็จ เลือกรูปอีกร่วมครึ่งชั่วโมงจนครบ 4 รูป
พอรูปออกมาเสร็จสมบูรณ์ ก็รูสึกว่าดีเหมือนกันนะที่มีคนบังคับให้ถ่าย ไม่ใช่ว่าสวยสมบูรณ์ตามเทรนด์ชาวบ้านที่มาสถานที่สำคัญเป็นไม่ได้ ต้องยืนเรียงเป็นนักฟุตบอลถ่ายรูปสองแถวหน้ากระดาน แต่เป็นเพราะเราไม่มีรูปครอบครัวแบบนี้บ่อยๆ ถึงแม้จะไม่มีพี่สาวจอมแจ๊ดมาด้วยก็เถอะ
บางทีเรามองข้ามอะไรเล็กๆน้อยๆไป จะด้วยความขี้เกียจหรืออะไรก็แล้วแต่
ต้องขอบคุณอาร์ตไดเรคเตอร์ประจำครอบครัวอย่างอากูรุ้ง...สุดยอดดดด

7-
พอพ้นทางธรรม พวกเราก็กลับสู่ทางโลกอีกครั้ง
จุดหมายที่จะไปต่อคือตลาดโอด็อป(ODOP พิมไม่ผิดนะ ตลาดโอด็อปจริงๆ) ตลาดสิงคโปร์และปิดท้ายด้วยสะหวันเวกัส
ตลาดโอด็อปไม่ค่อยมีอะไรแปลกพิสดาร ส่วนใหญ่ของที่ขายก็เป็นสินค้าพื้นบ้าน พวกไม้แกะสลัก เหล้า เบียร์ ที่ขาดไม่ได้เลยคือเบียร์ลาว แต่พี่ป็อปบอกว่าไว้ไปซื้อที่ร้านดาวเรือง(เป็นร้านขายของหนีภาษีโดยเฉพาะพวกเหล้า ไวน์ที่ช่องเม็ก จ.อุบลฯ)ที่เพิ่งมาเปิดสาขาที่นี่ด้วย
ใครอยากได้โทรศัพท์ไอโฟน บีบี ที่นี่ก็มีขายแต่เมดอินอะไรไม่รู้ ถูกมาก ราคาประมาณ 3,000 บาทเอง นึกสงสัยว่าใช้แล้วจะระเบิดใส่หน้ามั้ย แต่จี้อ้นบอกว่าใช้ได้เหมือนกัน ส่วนใหญ่เขาจะเอาไปเปลี่ยนเป็นแบตเตอรี่ของแท้ ก็จะใช้ได้ดีกว่า
เดินๆซักพัก ก็ได้ของติดไม้ติดมือมาเป็นโปสการ์ดลาว 2 ใบ เป็นที่ระลึกถึงสะหวันนะเขต
ออกจากตลาดโอด็อป ก็แวะไปดูที่ร้านดาวเรือง ปรากฎว่าหยุดสงกรานต์วันที่ 15 วันเดียวพอดี ปะป๊าอดซื้อเหล้าเลย
ลืมเล่าว่าคนลาวก็เล่นสงกรานต์เหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ว่าเล่นกี่วัน และบริเวณที่เราไปเที่ยวก็ไม่ใช่ตัวเมืองของสะหวันนะเขต จึงไม่รู้ว่าบรรยากาศจริงๆจะคึกคักแค่ไหน เห็นเด็กๆเล่นสาดน้ำกันแบบหรอมแหรม
ที่ต่อไปที่เราจะไปกัน คือตลาดสิงคโปร์ เป็นตลาดที่สิงคโปร์เช่าที่ลาวไว้ถึง 50 ปี ซึ่งตอนนี้เพิ่งจะผ่านไป 10 ปีเท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมชาวสิงคโปร์ถูกอกถูกใจสะหวันนะเขตตรงไหน ถึงกับยอมผูกขาดขนาดนี้
ตลาดสิงคโปร์เหมือนสะพานเหล็กในกรุงเทพฯนั่นแหละ ของที่ขายก็มีพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ของก็อปแบรนด์เนมที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าก็อปแน่นอนจำพวกกระเป๋า รองเท้า แว่นกันแดด
มีร้านทองด้วย ไม่รู้ว่าเก๊เหมือนกันรึเปล่า!
สำหรับคนที่นึกภาพไม่ออก ตลาดสิงคโปร์ก็เป็นตลาดที่อยู่ในตึกแห่งหนึ่ง เหมือนห้างเก่าๆ ภายในมีร้านรวงที่ขายของเหมือนๆกันเรียงรายอยู่บนชั้น 1 ชั้นอื่นๆของตึกถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างรกร้างว่างเปล่าราวกับยังสร้างไม่เสร็จ สงสัยชาวสิงคโปร์เป็นคนใจเย็นเห็นว่าเหลืออีกตั้ง 40 ปี!
เดินสำรวจอย่างรวดเร็วพบว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ นอกจากจิ้งจก 9 หางและนารีผลที่หน้าตึกซึ่งไม่คิดจะซื้อแน่นอนแล้ว เราจึงเดินออกมาข้างนอก ซักพักมีพี่สาวคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถามว่า"ทำเล็บมั้ย"
งงสิคะ อารมณ์ไหนกัน อยู่ๆมาชวนทำเล็บทั้งๆที่แถวนี้ก็ไม่เห็นมีซาลอนบริการเลย จึงตอบปฏิเสธไป
พอหายมึนก็จึงเข้าใจในภาพที่เห็น มันคือซาลอนเคลื่อนที่!
หน้าทางเข้าตลาดนัดสิงคโปร์ จะมีบริการทำเล็บแบบพกพา ช่างทำเล็บแต่ละคนจะมีตะกร้าคนละอันบรรจุยาทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บ สำลี ที่ตัดเล็บและเก้าอี้เตี้ยแบบเก้าอี้ซักผ้าบริการสาวๆที่ผ่านไปผ่านมาและอยากนั่งพักผ่อนหย่อนใจพร้อมรับบริการความงามให้แก่อวัยวะทั้งสิบที่อยู่ล่างสุด เท่านั้นยังไม่พอ ใครเมื่อยๆก็มีบริการนวดแขนนวดขานวดไหล่กันตรงไหนเลย จะทำพร้อมกับทำเล็บก็คงจะเพลินดีแท้
ขณะนั้นลูกค้าหนาแน่นพอสมควร ถ้าเราเป็นคนแอพพรีชิเอตการทำเล็บก็อาจจะลองดูกับเขาบ้าง
สภาพอากาศที่ร้อนเปรี้ยงปร้าง จนแม้แต่จะย่างเท้าไปขึ้นรถตู้ปรับอากาศก็ยังไม่อยากทำ อากูรุ้งจึงอาสาเดินดุ่มไปเรียกรถตู้เพื่อมารับทุกคนที่ปากทางเข้าตลาด ขณะที่ยืนรอกันอยู่ พี่สาวช่างเล็บคนเมื่อกี้ก็สะกิดปะป๊าพลางชี้มาที่เก้าอี้ซักผ้า ป๊ารีบปฏิเสธ
"ไม่ได้จะทำครับ" ซึ่งถ้าดูจากรูปพรรณสัณฐานของปะป๊าแล้ว ก็ไม่น่าจะชวนทำเล็บนะ
"ไม่เป็นไร นั่งพักได้ค่ะ"
คนลาวใจดีจัง...

8-

และแล้วพวกเราก็มาถึงที่สุดท้ายในการเที่ยวลาว
"สะหวันเวกัส" คาสิโนใหม่เอี่ยมในสะหวันนะเขต พี่ป็อปบอกว่ามีคนไทยข้ามมาเล่นเยอะ โดยจะมีรถรับส่งจากด่านไปที่บ่อนโดยเฉพาะด้วย
หลังจากน้าโชเฟอร์มาส่งเราที่ปากทางเข้าและนัดหมายว่าจะมารับในอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะพวกเราไม่ได้ตั้งใจจะเล่นจริงใจ แค่อยากเข้าไปซึมซับบรรยากาศเฉยๆ
เบื้องหน้าของเราเป็นอาคารที่ดูทึบตันและไม่ทราบสไตล์เกิดจากการมิกซ์แอนด์แมทช์ของอาคารแบบโมรอคคันผสมช้างไทยตัวเขื่องเรียงรายอยู่รอบนอก ไม่รู้ถือเอาฤกษ์เอาชัยให้นักพนันมาลอดท้องช้างสร้างสิริมงคลก่อนเดินเข้าไปสู่คาสิโนรึเปล่า นอกจากนี้ยังมีรถกระบะคันโตที่คาดว่าจะเป็นรางวัลของผู้โชคดีวางตระหง่านในแกนที่ไม่ธรรมดาเสริมสร้างความยั่วยวนต่อสายตานักพนัน
มึนงงกับสถาปัตยกรรมเบื้องหน้าซักพัก เราก็เดินเข้าสู่โลกแห่งการพนัน
ต่างกันราวกับกลางวันและกลางคืน จากแดดแรงๆด้านนอกสะหวันเวกัส เมื่อก้าวเท้าเข้าไปก็มีลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศมาช่วยทุเลาความทรมาน ภายในมีอาคารมีการตกแต่งป้ายไฟคึกคักผสมกับไฟเสริมสลัวๆ แทบไม่มีช่องเปิด กะให้นักพนันแทงกันลืมวันลืมคืนเลยทีเดียว
เดินดูรอบๆก็จะเห็นโต๊ะพนันหลากประเภททั้งรูเล็ต แบล็คแจ็ค สล็อท รวมถึงรับพนันกีฬาด้วย มีทีวีจอใหญ่ฉายการถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกนัดหนึ่ง เนื่องจากเล่นอะไรไม่เป็นซักอย่าง ก็เลยได้แต่เดินดูรอบๆ
เดินๆหลายรอบ มองไปก็เห็นหน้าคุ้นๆ อ้าว! พี่ป็อปประจำที่ ณ โต๊ะรูเล็ตโต๊ะหนึ่งแล้ว มีป้าๆนั่งร่วมโต๊ะอยู่อีก 2 คนและเจ้ามืออีก 1 คน
หลังจากที่เดินเบื่อนานแล้วและถึงเวลาที่รถใกล้จะมารับ หม่าม้า อาโกและเราก็เดินออกมารอที่หน้าคาสิโน ถ่ายรูปเล่นกะคุณช้างใหญ่ยักษ์ หม่าม้าก็เริ่มเป็นห่วงว่าจะพวกที่เหลือข้างในจะเล่นเพลินเลยบอกให้เข้าไปตามออกมา
ตรงตามที่พี่ป็อปลั่นวาจาเอาไว้ ได้เงินมาจ่ายค่าห้องพอดี


9-
ร้อนจนจะละลายแล้ว
หลังข้ามกลับมาไทยและพ้นจากร่มเงาของอาคารด่านพรหมแดน ก็ต้องฝ่ารังสีของแดดบริเวณที่จอดรถกลางแจ้ง รังสียูวีที่สะท้อนพื้นคอนกรีตและตัวรถยนต์กระแทกเข้าสู่ร่างกายทุกทิศทุกทาง ต้นไม้ก็มีน้อยเหลือเกินจนไม่สามารถพึ่งพาร่มเงาได้ ร้อนถึงขั้นม้ามจะแตก!
ระหว่างที่พวกเรารอรถโดยสารเพื่อกลับมาฝั่งไทย นั่งซดโออิชิหนึ่งขวดเต็มๆก็ไม่ช่วยดับความกระหายได้ เลยต้องเบี่ยงเบนความสนใจ(เรื่องความร้อน)โดยการนั่งดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ด่าน ระบบการทำงานของที่นี่เป็นไปอย่างไม่เป็นระบบนัก อยากเดินเข้าไปซื้อน้ำทั้งที่พ้นรั้วมาแล้วก็สามารถทำได้ โต๊ะขายตั๋วรถข้ามแดนก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ เอ๊ะ! เราจะกลับยังไงเนี่ย
ป้ายบอกก็ไม่มี รอซักพักจึงจะเห็นพนักงานขายตั๋วกลับมานั่งที่โต๊ะ
ถึงจะไม่มีมาตรฐานและความฉับไว แต่ก็มีเสน่ห์ที่ความไม่รีบร้อน ไม่ทำให้บรรยากาศมันร้อนมากกว่าที่เป็นอยู่
หลังจากสำรวจการทำงานของด่านพรหมแดนฝั่งลาวเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มหาอย่างอื่นทำต่อ หนีไม่พ้นต้องคุยกันเองแล้วล่ะ หันไปทางขวาเห็นหม่าม้าคุยกับจี้อ้นอยู่ ฟังเพลินๆจนมาสะดุดที่บทสนทนาหนึ่ง
"อ้นเป็นอาโผ่แล้วนะ" จี้อ้นพูดขึ้นมา
คนที่ไม่ได้มีสัญชาติจีนแคะอาจจะไม่เข้าใจ อาโผ่ก็หมายถึงคุณย่านั่นเอง
ถึงจะมีอายุต่างกันเกือบยี่สิบปี แต่ถ้านับลำดับญาติ จี้อ้นก็คือลูกพี่ลูกน้องของเรา ถึงแม้อายุจะสามารถเป็นแม่เราได้แล้ว แต่จี้อ้นยังดูเด็กและสวยหมวยอยู่เสมอ จี้อ้นมีลูกชายคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเรา 1 ปีชื่อ นิว เคยมาอาศัยอยู่ที่บ้านเพราะเรียนโรงเรียนเดียวกันตอนป.5-6 จบประถมก็แยกย้ายกันไป นิวย้ายไปอยู่กับพ่อที่เลิกทางกับจี้อ้น หลังจากนั้นก็แทบไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย นิวมาเยี่ยมที่บ้านประมาณปีละครั้ง แต่หลังๆมานี้ก็ไม่ได้เจอเลย กลายเป็นว่าข่าวล่าสุดที่เราได้รับคือ นิวมีลูกชายอายุ 4 เดือนแล้ว
กรี๊ดดดด....ฉันเป็นอากูแล้ว...อากูบู
เนื่องจากครอบครัวทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่มีพี่น้องเยอะทำให้ความเหลื่อมล้ำของอายุมีมาก นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เรามีหลานในตระกูลทั้งสองฝ่ายนับสิบเกือบยี่สิบคนได้ นิวก็ถือเป็นหลานของเรา นั่นหมายความว่าทารกอายุ 4 เดือนผู้นั้นคือ"เหลน"คนแรกในชีวิต!
จี้อ้นบอกเราว่า เป็นธรรมดาเมื่อวัยรุ่นไม่มีคนคอยชี้แนะหรือคอยสอน ทำให้เลือกทางเดินในชีวิตแบบนั้น เห็นท่าทางจี้อ้นดูกลุ้มใจนิดหน่อยแต่ก็ปลงในขณะเดียวกัน หม่าม้าถามจี้อ้นว่านิวทำงานอะไร อยู่ยังไง
"ก็มีร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ อ้นเลยบอกให้ไปเรียนให้จบ เอาปริญญาตรีให้ได้ ไม่งั้นชีวิตจะลำบาก จบปวส.ก็ได้แค่ส่งประแจให้ช่างเขาเท่านั้น แต่ถ้าได้ปริญญาตรีก็เข้าทำงาน หรืออาจถูกส่งไปเรียนเมืองนอก โอกาสมีมากกว่ากันเยอะ"
จี้อ้นเป็นสาวเก่ง ทั้งที่เสียพ่อไปตั้งแต่อายุยังน้อย มีปะป๊าและอาๆช่วยกันเลี้ยงมา ด้วยความทะเยอทะยานจึงตั้งตัวมีชีวิตที่ดีแบบทุกวันนี้ด้วยลำแข้งของตัวเองได้ เป็นตัวอย่างที่เราก็ชื่นชม
พอได้ฟังชีวิตของหลานชายคนนี้ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าชีวิตคนเรามันต่างกันแค่การที่เราเลือกทางเดินเท่านั้น ครอบครัวมีส่วนสำคัญมากที่จะช่วยดูแลให้เด็กเดินไปในเส้นทางที่ถูกที่ควร
แต่หากเลือกพลาดบ้าง ก็นับเป็นประสบการณ์ของชีวิต เพียงแค่เรารู้ตัวและพยายามเดินกลับเข้าสู่ทหนทางที่ถูกต้อง พยายามทำชีวิตให้ดีขึ้นมา เท่านั้นมันก็เกิดคุณค่ากับตัวเองแล้ว

10-
กลับมาพบการจราจรที่แน่นเอี้ยดในตัวเมืองจังหวัดมุกดาหาร
เนื่องจากเป็นเทศกาลปีใหม่ไทย สิ่งที่เห็นรอบข้างกระจกรถก็คงหนีไม่พ้นบรรยากาศการสาดน้ำอย่างสนุกสนาน รถกระบะขนคนแต่ละคันแน่นเอี้ยดเพื่อมาเล่นสงกรานต์กัน ส่วนเราก็สนุกสนานเหมือนกันกับการดูคนเล่นสาดน้ำ เพราะถึงจะนั่งในรถเก๋ง แต่กลุ่มคนเสื้อลายดอกที่เล่นอยู่บนฟุตบาทก็ใจดีโดยสาดน้ำมาที่รถทำให้พวกเรารู้สึกมีส่วนร่วมและแอบกระพริบตาหยีเมื่อน้ำมากระ แทกกระจกฝั่งที่เรากำลังจ้องอยู่ เคยคิดเหมือนกันว่าจะสาดทำไมเมื่อรู้ว่าก็ไม่โดนตัวคนในรถอยู่ดี แต่ในวันนี้เรากลับคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะแบ่งปันความสนุกสนานทางใจให้กับคนทุกๆคน

หิวแล้ว...แวะทานอาหารที่ร้านคู่แฝด2ซึ่งเป็นอาหารเวียดนามกันก่อน
เนื่องจากร้านคู่แฝด1 ไม่มีแอร์ พี่ป็อปจึงพาไปร้านคู่แฝด2 ที่คิดว่าน่าจะมีแอร์ แต่พอไปถึงกลับเป็นลมร้อนๆจากพัดลมแขวนบนเพดานเท่านั้น
โอเค...เอาเถอะ หิวกันมากแล้ว บรรยากาศร้านก็ดูน่านั่งทีเดียวถึงแม้จะดูไม่มีพนักงานมาเก็บจานชามที่วางเกลื่อนบนโต๊ะราวกับว่าเพิ่งจัดโต๊ะเวียดนาม(โต๊ะจีน)มาหมาดๆ แต่เพราะเราไม่อยากจะฝ่าสมรภูมิการเล่นสงกรานต์อันดุเดือดหน้าร้านออกไปอีกครั้ง จึงนั่งลงสั่งอาหารทันที
และไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะอาหารอร่อยมากกกกกก...
อาจเป็นเพราะเราเป็นคนที่กินได้แทบทุกอย่างและรู้สึกเอร็ดอร่อยกับอะไรง่ายๆ จึงรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้มันช่างถูกปากจริงๆ ทั้งแหนมเนือง ปอเปี๊ยะทอด ปอเปี๊ยะสด ปากหม้อญวณ ฯลฯ กินเยอะมากจนแทบจะพูดภาษาเวียดนามได้แล้ว
มื้อเช้าเราก็ทานอาหารเวียดนามที่มีแม่ครัวและพนักงานเป็นครอบครัวชาวเวียดนามแท้ๆเลยด้วย ไม่รู้ว่าย่านนี้เป็นชุมชนคนเวียดนามหรืออย่างไร สังเกตจากร้านอาหารเวียดนามที่อยู่ในละแวกเดียวกันซึ่งมีอยู่หลายร้าน และขอบอกว่าจากที่กินมาทั้งมื้อเช้าและมื้อบ่ายนี้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย
กินเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินพุงกางฝ่าสมรภูมิน้ำไปที่รถอีกรอบ คราวนี้เปียกน้ำนิดหน่อย
บรรยากาศสงกรานต์ที่อ.เมือง จ.มุกดาหารดูสนุกสนานมาก แม้จะมีเหล้าเบียร์วางตั้งเต็มโต๊ะในตอนกลางวันแสกๆผนวกกับเสียงเพลงจากลำโพงตัวเบ้อเริ่มซึ่งพ่นเพลงที่ดังเกินพอดีในจังหวะเกย์แดนซ์สลับกับเพลงปลุกใจของคาราบาวและเพลงเกาหลีบ้างเป็นบางขณะ เราก็รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับความสนุกสนานเหล่านั้นได้
คนที่นี่เล่นน้ำกันตลอด 3 วัน ต่างจากที่เราเคยไปเล่นที่ตรัง(ไม่รู้ว่ารวมจังหวัดอื่นๆในภาคใต้ด้วยรึเปล่า)ซึ่่งเล่นน้ำในวันที่ 13 วันเดียวเท่านั้น วันที่เหลือเป็นวันเที่ยว ถ้าสาดน้ำกันอาจจะโดนตบกลับมาได้


11-

ถึงที่หมายสุดท้ายแล้ว...ตลาดอินโดจีน
ตลาดอินโดจีนเป็นร้านค้าที่วางเรียงรายอยู่ริมถนน อารมณ์ร้านค้าย่านสำเพ็ง ขายของจิปาถะ เครื่องใช้ไฟฟ้า ขนม ไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก น่าจะเหมาะกับคนที่ตั้งใจมาซื้อรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมหรือภาพปักไหมถูกๆมากกว่า หลังจากเดินดูของไม่นาน พวกเราจึงคิดว่ากลับดีกว่า
ตลอดการเดินทาง เราใช้รถ 2 คันสำหรับคน 7 คน ก่อนแยกย้ายกลับเราจึงขับไปเจอกันที่ปั๊มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมันและร่ำลากัน
พี่ป็อปกับจี้อ้นกลับศรีสะเกษโดยใช้เส้นทางเดิมคือผ่านจ.อำนาจเจริญ ส่วนพวกเราที่เหลือมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯโดยใช้คนละเส้นทางกันคือต้องผ่านจ.กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น โคราช สระบุรีและเข้าสู่กรุงเทพฯ
หลังจากหอมและกอดกันเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาโบกมือบ๊ายบายกัน ไว้กลับไปเจอกันใหม่ที่กรุงเทพฯ
ทริปทัวร์อีสานครั้งแรกครั้งนี้ ทำให้เราได้สัมผัสกับภูมิภาคนี้มากขึ้น จากเดิมที่แทบไม่รู้อะไรเลยนอกจากการเป็นที่ราบสูงทางตะวันออกเฉียงเหนือ ส้มตำและแหล่งคนเสื้อแดง
วันนี้ได้มาลองสัมผัส ก็พบว่ามันมีเสน่ห์ของมันอยู่ไม่น้อย
ทุกสถานที่มีเอกลักษณ์และความน่าสนใจทั้งนั้น

12-
การมาเที่ยวกับครอบครัวและญาติๆนานๆครั้งก็เป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดี ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกๆของชีวิตคนหนึ่งคน ถึงจะมีนอยด์กันบ้าง ผิดใจกันบ้าง แต่ที่พึ่งสุดท้ายของเราก็คือครอบครัว
ขณะขึ้นรถมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ เราก็ได้นึกย้อนเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดทริป นึกไปก็ยิ้มไป โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้าคือการจราจรติดขัดมหาศาล และการใช้ชีวิตบนรถที่นานที่สุดตั้งแต่เกิดมา
กับการเดินทางกลับ 13 ชั่วโมง!!!!

16 April 10

03.00 อ๊ากก ยังไม่ถึงบ้านเล้ยยยย